อิทธิฤทธิ์ “หลวงพ่อปาน” แอบหนีอาจารย์เที่ยว หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านเป็นพระเกจิที่มีบุญบารมีมาแต่ต้น ดังนั้น จึงต้องอยู่กับผู้มากบุญบารมีและมีวิชาความรู้ เพื่ออบรมสั่งสอน และในยุคสมัยนั้นคงไม่มีใครเก่งเกิน หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ” แห่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เรื่องเล่าจากชาวบ้านวัดบางปลาหมอ เล่าถึงหลวงพ่อปานในวัยหนุ่มว่า ในช่วงเวลาหนึ่งสมัยที่ “หลวงพ่อปาน” ยังเป็นพระหนุ่ม และกำลังทบทวนวิชา วาโยกสิณ ที่ได้ร่ำเรียนจาก “หลวงพ่อสุ่น” บริเวณศาลาท่าน้ำหน้าวัดบางปลาหมอ ใจจึงคิดอยากไปเที่ยวบางกอก (กรุงเทพฯ) เมื่อตั้งใจดังนั้นจึงทดลองวิชา วาโยกสิณ ที่หลวงพ่อสุ่นได้สอนให้

หลวงพ่อปาน
หลวงพ่อปาน หลวงพ่อสุ่น

 

ว่าแล้วหลวงพ่อปานจึงกำหนดจิต ไปยังท้องสนามหลวง แล้วเคลื่อนย้ายกายไปที่ท้องสนามหลวง เที่ยวไปสักพักแล้วจึงกำหนดจิตกลับมายังวัด ในที่ลับตาแล้วจึงเดินมายังที่ศาลาท่าน้ำตามเดิม

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การแอบหนีเที่ยวของหลวงพ่อปานครั้งนี้ ก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาจากพระอาจารย์อย่างหลวงพ่อสุ่นไปได้

เมื่อหลวงพ่อปานอาบน้ำเสร็จจึงเข้าไปหาพระอาจารย์ในกุฏิเหมือนปกติ พระอาจารย์จึงเอ่ยปากถามว่า "ปาน วันนี้ลูกไปเที่ยวบางกอกมารึ ซื้ออะไรมาบ้างเล่า"

หลวงพ่อปานจึงตอบไปด้วยความตกใจ "ไม่ได้ซื้ออะไรมาหรอกขอรับ"

หลวงพ่อหลวงพ่อสุ่นจึงสั่งว่า การแสดงอิทธิฤทธิ์นั้น ลูกจงอย่าให้ใครได้เห็น จะผิดและเป็นโทษตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงห้าม

ซึ่งนอกเหนือจาก วาโยกสิณ แล้ว หลวงพ่อสุ่นท่านยังถ่ายทอดวิชา ปถวีกสิณ วิชาเรียกดิน จนถึงการทำให้ น้ำเป็นของแข็ง สามารถเดินข้ามแม่น้ำลำคลองได้

ซึ่งวิชานี้จะต้องอธิฐานให้เฉพาะน้ำบริเวณที่เท้าลงไปสัมผัสเท่านั้น หากน้ำแข็งไปเสียทั้งหมด จะทำให้การสัญจรทางเรือของชาวบ้านเขาลำบากเดือนร้อน

ซึ่งหลวงพ่อสุ่นท่านก็สอนจนถึงขั้น กำหนดจิตทำให้อากาศแข็งได้ เมื่อเท้าสัมผัสและสามารถเดินไปได้ด้วยกำลังเท้า ซึ่งไม่เหมือน "วาโยกสิณ" ซึ่งสามารถเหาะเหินไปได้จะเร็วกว่ามาก

หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอท่านเปรียบเสมือน พ่อบุญธรรมของหลวงพ่อปาน มักจะเรียกหลวงพ่อปานว่าลูกเสมอ และท่านยังคงเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอาจารย์องค์แรกของหลวงพ่อปานอีกด้วย