เด็กวัดเจอผีกุมาร
เด็กวัดเจอผีกุมาร

"เล่าสยอง" เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมพบเจอในช่วงเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่5 มันคือเรื่องจริงที่ผมและเพื่อนๆ ได้พบกับตัวเองในขณะที่เป็นเด็กวัด ประมาณปี พ.ศ. 2528-2529 เรื่องของ "เด็กวัดเจอผีกุมาร"

ในช่วงนั้น น้าชายของผมอายุครบ 20 ปีพอดี และได้บวชเป็นพระที่วัดแถวบ้านในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในช่วงที่น้าชายผมบวชพระ ก็จะพระหนุ่มๆ รุ่นเดียวกันเข้ามาบวชอยู่หลายรูป ซึ่งทุกคนนั้นล้วนแต่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน

แต่ละคนที่มาบวชช่วงเข้าพรรษา ต่างก็ชวนน้องชาย หลานชาย มาเป็นลูกศิษย์วัด ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน

ขณะนั้นผมรู้สึกชอบมากที่ได้มาอยู่วัด มีเพื่อนๆ มากมาย และอยู่ใกล้กับโรงเรียนเพียงข้ามฝั่งถนนก็ถึงโรงเรียนแล้ว หากอยู่ที่บ้านผมต้องเดินไปโรงเรียน 2 กิโลเมตร กลับอีก 2 กิโลเมตร

พวกเราจึงมาอยู่วัดรวมกันประมาณ 9-10 คน ตื่นเช้ามาก็เดินตาม หลวงพี่ หลวงน้า หลวงอา ไปบิณฑบาตรตอนเช้า แล้วกลับมาอาบน้ำกินข้าวก้นบาตรเสร็จแล้วจึงไปโรงเรียน

หลังเลิกเรียนพวกเราก็กลับมาที่วัด เล่นแตะฟุตบอล เล่นตะกร้อกัน สนุกสนาน บ้างครั้งก็เล่นน้ำกันในคลองข้างวัด เป็นแบบนี้ทุกวัน

มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นคือวันที่พวกเราต้องจดจำ พวกเราเล่นซ่อนแออบกันบริเวณหอสวดมนต์ ซึ่งในสมัยนั้น หอสวดมนต์ยังเป็นไม้ทรงไทยเก่าโบราณ และมีทางเดินคอนกรีตโดยรอบหอสวดมนต์ เป็นลักษณะคล้ายตัวโอ สี่เหลี่ยมรอบหอสวดมนต์

และมีกุฏิพระถัดออกไปจากทางเดิน เป็นลักษณะตัวยู ล้อมรอบหอสวดมนต์อีกชั้นหนึ่ง ด้านหน้าหอสวดมนต์จะเป็นศาลาการเปรียญสำหรับญาติโยมมาทำบุญในวันพระ

ในตอนเย็นพระทั้งหมดจะเข้าสวดมนต์ทำวัดในโบสถ์และกลับมายังกุฏิของแต่ละท่าน สำหรับพระหนุ่มจะอยู่รวมกัน กุฏิละ 2-3 รูปด้วยกัน

ในส่วนของกุฏิพระจะแบ่งเป็นสองฝั่งด้านซ้าย และด้านขวา ของหอสวดมนต์ ด้านซ้ายจะเป็นกุฏิพระหนุ่มๆ ที่บวชใหม่ในช่วงเข้าพรรษา  ส่วนอีกฝั่งด้านขวามือ จะเป็นพระแก่ๆ หรือพระชราซึ่งบวชมานานหลายพรรษาแล้ว

พวกเราก็วิ่งเล่นกันรอบหอสวดมนต์กัน โดยเล่นซ่อนแอบ ให้เพื่อนอีกคนปิดตานับเลข ส่วนอีกหลายๆ คนก็จะไปแอบบกันอีกฝั่งหนึ่งของหอสวดมนต์ พอเพื่อนลืมตาขึ้นมาก็จะวิ่งไปหาเพื่อนๆ ให้ครบทุกคน เราเล่นกันสนุกสนานมาก จนมืดค่ำ

ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน ในขณะที่เรากำลังเล่นกันสนุกสนานนั้น ลมก็พัดแรง ฟ้าร้องคำราม เหมือนฝนกำลังจะตกลงมา พวกเราจึงพากันเลิกเล่น

พวกผมประมาณ 8-9 คน ก็กลับไปยังกุฏิพระทางด้านซ้ายมือ หรือฝั่งกุฏิพระหนุ่ม แล้วก็กางมุ้งหน้ากุฏิพระ โดยเราใช้มุ้งมาเย็บต่อกันแล้วนอนรวมกัน

แต่มีเพื่อนผมอยู่คนหนึ่งชื่อ “ฉลอง” เพื่อนคนนี้พึ่งมาอยู่วัดไม่นาน เนื่องจากหลวงตาพามาอยู่เป็นเด็กวัดด้วย ฉลองก็เลยต้องกางมุ้งนอนหน้ากุฏิหลวงตาคนเดียว ซึ่งฝั่งกุฏิหลวงตานั้นโดยปกติแล้วพวกเราจะไม่ค่อยไปเล่นวุ่นวายแถวหน้ากุฏิหลวงตากันเท่าไหร่นัก

เนื่องจากมีหลวงตาท่านหนึ่งชื่อ “หลวงตาแก” ท่านเป็นพระสันโดษไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร และเพื่อนๆ หลายคนก็มักจะพูดถึงว่าหลวงตาแก เป็นพระมีวิชาอาคม เลี้ยงผีไว้อีกด้วย เวลาที่ผมผ่านไปทางกุฏิหลวงตาแก มองเข้าไปในกุฏิ ก็จะเห็นโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่ มีทั้ง พระพุทธรูป มีเทวรูป กุมารทอง หัวฤาษี พ่อแก่ อยู่เต็มโต๊ะหมู่บูชา ทำให้พวกเด็กๆ กลัวกับบรรยากาศของกุฏิหลวงตาแกเอามากๆ เลย

พวกเรากางมุ้งนอนกันหน้ากุฏิพระตรงระเบียง ถัดจากปลายเท้าเราก็จะเป็นทางเดินคอนกรีตรอบหอสวดมนต์ พวกเราก็ยังไม่นอนหลับ ยังคนนอนเล่นนอนคุยกันตามประสาเด็กๆ นอนแกล้งกันแหย่กันไปมา บางครั้งก็แกล้งแหย่เพื่อนเรื่องผีกันสนุกสนาน

ในช่วงดึก ฝนเริ่มซาลง และตกพร่ำๆ ก็มีน้ำขังอยู่ตรงทางเดินรอบหอสวดมนต์ ในช่วงนี้พวกเราก็ต้องตกใจกันมาก เพราะว่าได้มีเสียงเด็กๆ วิ่งเล่นกันรอบหอสวดมนต์ มีเสียงวิ่งผ่านมุ้งพวกเราไป วิ่งกันเร็วมาก เสียงฝีเท้ากระทบกับน้ำฝนที่ขังอยู่บนพื้นคอนกรีต เสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

พวกเราตกใจกันสุดขีด ว่าเด็กๆที่ไหนมาวิ่งเล่นกันในวัด เพราะพวกเราเด็กวัดก็นอนรวมกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมด ส่วนฉลองก็กลับไปนอนหน้ากุฏิหลวงตาคนเดียว

นอกจากเสียงฝีเท้าที่วิ่งกระทบกับน้ำที่ขังบนทางเดิน ยังมีเสียงหัวเราะกันสนุกสนาน ที่บางครั้งก็มีการสาดน้ำเข้ามายังมุ้งที่พวกเรานอนอีกด้วย คลายๆ กับเอาเท้าเตะน้ำให้กระเซ็นมาหามุ้งพวกเรา

“ผีหลอกๆๆ” พวกเราตกในร้องกันเสียงหลง แล้วก็มุดเข้าในผ้าห่มคลุมโปงนอนเบียดกันอย่างขวัญผวา

ในช่วงเช้า พวกเราตื่นขึ้นมาก็คุยกันเรื่องนี้ และเล่าให้พระหนุ่มๆ ฟังกันก่อนไปบิณฑบาตร แต่ว่า ฉลองที่นอนอยู่คนเดียว ตอนนี้ จับไข้ หัวโกร๋น ไม่สามารถลุกไปบิณฑบาตรกับหลวงตาได้แล้ว

หลวงตาก็ออกไปบิณฑบาตรและบอก พ่อแม่ ญาติของฉลอง ให้มารับกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งฉลองก็กลับบ้านไปรักษาและหยุดเรียนไปหลายวันด้วยกัน

ผ่านไปสัปดาห์ ฉลองก็กลับมาเรียน โดยเส้นผมของฉลองหลุดร่วง และแหว่งเป็นกระจุกๆ เราจึงสอบถามกับฉลองว่าเมื่อวันก่อนนั้น ฉลองเจออะไรบ้างจึงทำให้ไม่สบายไปขนาดนี้

ฉลองเล่าให้พวกเราฟังว่า ในช่วงที่กำลังเข้ามุ้งนอนอยู่ ก็ต้องตกใจ เพราะว่าได้ยินเสียงเด็กๆ วิ่งเล่นกันรอบหอสวดมนต์ และที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือ เด็กๆ เหล่านั้นขึ้นมาวิ่งวนรอบมุ้งของ ฉลองซึ่งนอนอยู่คนเดียว และมีเสียงพูดว่า

“ขอเล่นด้วยคนๆ ให้พวกเราเล่นด้วยสิๆ อยากเล่นด้วยๆ” เสียงเด็กๆ ดังอยู่รอบๆ มุ้งของฉลอกที่นอนตัวสั่นผวา

ฉลองมองไปรอบๆ มุ้งก็เห็นกับ หัวของเด็กผมจุก ไว้โก๊ะ ไว้แกละ ลอยไปลอยมาอยู่รอบๆ มุ้งของฉลอง ซึ่งมีแต่หัวไม่เห็นตัว

และก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งวนรอบมุ้งกับเสียงเรียก “ขอเล่นด้วย ขอเล่นด้วยคน ขอเล่นด้วยนะ”

ทำให้ฉลองต้องนอนคลุมโปงจับไข้หัวโกร๋นไปเลย

ซึ่งหลวงตาแก ซึ่งอยู่กุฏิถัดไปจากกุฏิหลวงตาที่พาฉลองมาอยู่ด้วย ท่านก็ได้ให้ความเห็นไว้ว่า พวกเด็กวัดน่าจะเจอผีกุมาร ซึ่งเป็นผีเด็กๆ กุมารที่ท่านเลี้ยงไว้ เห็นพวกเด็กวัดวิ่งเล่นกันสนุกสนาน ก็อยากจะเล่นด้วย จึงปรากฏให้เห็นและมาขอเด็กๆ เล่นด้วยก็เท่านั้นเอง แต่ก็เล่นเอาพวกเด็กวัดอย่างพวกเราหลอนกันไปตามกัน

นี่ก็เป็นเรื่อง "เด็กวัดเจอผีกุมาร" ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ปัจจุบัน ฉลองได้เสียชีวิตไปนานแล้ว เนื่องจากผมกลับไปยังพื้นที่และได้สอบถามความเป็นอยู่ของฉลอง ก็ทราบว่า ฉลองได้เสียชีวิตไปนานมากแล้ว ก็ขอให้ ฉลองไปสู่สุขติด้วยเทอญ