หวลคืนความหลังวัยเด็ก
วันเสาร์นี้ผมว่างไม่ได้มีธุระอะไร ภรรยาก็ว่างจึงคิดว่าพาลูกไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์ของเล่นอยุธยา เมื่อก่อนเคยพาลูกมาแล้วครั้งหนึ่ง เธอยังเล็กๆ ประมาณ 2-3 ขวบ ตอนนี้ 6 ขวบเธอน่าจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้แล้ว
เราเดินทางไปทานอาหารเช้าก่อนประมาณ 9:30 น. ที่ร้านอาหารใกล้กับพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอยู่ในซอยตรงข้าม และเข้าไปยัง พิพิธภัณฑ์ของเล่น ประมาณ 10:00 น.
มาถึงตอนเช้าๆ อากาศก็ร่มรื่น แดดยังไม่ร้อนมาก ที่จอดรถก็สะดวกสบาย มี รปภ คอยบริการโบกรถให้จอดด้วย
ก่อนเข้าไปยังอาคาร พิพิธภัณฑ์ของเล่น ผมก็ขอเก็บภาพรอบๆ ตัวอาคารก่อนนะครับ เพราะอากาศดีมากเช้านี้
ทางเข้ามี รถจักรยานโบราณจอดไว้ 3 คัน และมีรถโฟร์คเต่าวินเทจจอดไว้ด้านหน้าอีก 1 คัน
จักรยานสีแดงโบราณ ทำให้นึกถึงรถจักรยานของแม่ ซึ่งเมื่อก่อนตอนผมเป็นเด็ก แม่ก็ปั่นจักรยานสีแดงแบบนี้ไปไหนต่อไหนเป็นประจำ และเป็นจักรยานที่ผมใช้ฝึกซ้อมในการปั่นจักรยานครั้งแรกอีกด้วยครับ
ด้านหน้าตรงที่จอดรถนั้น มีร้านอาหาร หากใครหิวมาก็แวะเข้ามาทานอาหารก่อนได้เลย มีก๋วยเตี๋ยวและข้าวขาย รสชาติผมเคยลองทานแล้วครับ อร่อย แต่วันนี้ผมทานอาหารกันมาแล้วก็เลยไม่ได้เข้าไปทาน
บรรยากาศในร้านอาหารน่านั่งมากครับ ตกแต่งสไตล์วินเทจ เหมือนร้านอาหารในสมัยอดีต
บริเวณด้านหน้าอาคารจะมีที่นั่งไว้ให้สำหรับคนที่ไม่เข้าไปดูของเล่นในอาคารจะนั่งรออยู่ด้านนอกก็ไม่มีใครว่า บรรยากาศร่มรื่นอย่างมาก
คุณลูกกับคุณแม่เข้าไปยืนรอผมด้านหน้าประตูทางเข้าแล้วครับ เพราะผมต้องเป็นคนจ่ายเงินค่าบัตร์เข้าชมก่อนไม่อย่างนั้นก็เข้าไปชมอะไรไม่ได้ ก่อนเข้าตัวอาคารต้องถอดรองเท้าไว้ด้านนอกนะครับ เพราะด้านในสะอาดมาก
ค่าเข้าชม สำหรับเด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 50 บาท ราคานี้ถือว่าไม่แพง จะเห็นป้ายห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าไป ห้ามนำอาหารเครื่องดื่มเข้าไปในอาคาร สำหรับอาคารจะมี 2 ชั้น สามารถถ่ายภาพได้ตามใจ น้องเจ้าหน้าที่จำหน่ายบัตรจะคอยแจ้งเงื่อนไขต่างๆ ให้เราทราบในการเข้าชม
ประตูทางเข้าจะมีกับตันอเมริกายืนจังก้า คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ เป็นหุ่นโมเดลที่เท่และสง่างามสมกับเป็นฮีโร่ในใจของใครหลายๆคน
ภรรยาและลูกสาวผมก็จูงมือกันเข้าไปชมด้านใน ของเล่นเยอะมาก หากจะดูกันให้ละเอียดทั้งหมดคงใช้เวลาเป็นวัน มีของเล่นมากมายหลากหลาย สีสันสวยงามสะดุดตา
บนหลังตู้กระจกจะมีของเล่นประเภทตุ๊กตูน โมเดลพลาสติก สีสันสวยงาม มีมากมายหลายประเภทครับ
ของเล่นประเภทสังกะสีแบบโบราณก็มีให้ชมจำนวนมาก ของเล่นหลายๆ ชิ้นหายาก และผู้ใหญ่หลายคนคงได้มีโอกาสเล่นมาก่อนแล้ว หรือหากไม่เคยเล่นก็คงได้เคยเห็นกันบ้างตอนเด็กๆ
นอกจากของเล่นพลาสติกและของเล่นสังกะสี ยังมีตุ๊กตาของเด็กผู้หญิง และของเล่นน่ารักๆ ของเด็กผู้หญิงด้วย ลูกสาวผมชอบมาก
ในอาคารพิพิธภัณฑ์นอกจากของเล่นแล้ว ยังมีของเก่าของโบราณ เครื่องมือเครื่องใช้โบราณ และพระเครื่องใส่ตู้ไว้ให้ชมอีกด้วย
ด้านในจะมีอยู่หนึ่งห้อง เป็นของเล่นที่จัดจำหน่ายให้ซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก ใครต้องการซื้อก็เข้ามาเลือกชมในห้องนี้ได้ครับ
เมื่อเราจะเลือกซื้อ เราสามารถนำของเล่นตัวทดลอง ที่เขาใส่ถาดไม้ไว้มาลองเล่นดูก่อนได้ครับ ว่าเขาเล่นกันอย่างไร มีกลไกการเล่นยังไง เพราะของที่จำหน่ายจะอยู่ในแพ็คเกจ
มันมีของเล่นโบราณอีกชิ้นหนึ่งซึ่งผมพึ่งจะเห็น ตอนเด็กๆ นั้นเราไม่มีของเล่นเหมือนเด็กสมัยนี้ เวลาปิดเทอมเราจะรวมกลุ่มกันเล่นบ้านใครคนใดคนหนึ่ง ส่วนพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ไปทำไร่ทำนากันหมด ในหมู่บ้านจะเหลือแต่เด็กๆ พวกเราไม่มีของเล่น ก็เก็บเอาเปลือกหอยแครงไว้เล่น โดยขุดหลุมลงไปในดินเหมือนอย่างในภาพ และใช้เปลือกหอยแครงแทนลูกแก้ว เราเรียกเกมแบบนี้ว่า "หลุมเมือง" ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าผู้ใหญ่เขาเอาไม้มาแกะสลักเป็นหลุมๆ ให้เล่นกันแบบนี้ด้วย
ด้านในพิพิธภัณฑ์ของเล่น จะมีภาพวาดศิลปะใส่กรอบไว้อย่างสวยงาม เป็นมุมที่หลายคนมักจะเข้าไปถ่ายภาพเช็คอินกัน เพราะมันสวยมาก
เจ้าหุ่นยนต์สีแดงตัวนี้ สมัยผมเด็กๆ มันเป็นหนังการ์ตูนที่ดังมาก แต่ผมจำไม่ได้แล้วครับว่ามันชื่ออะไร
ด้านบนก็สามารถมองลงไปยังด้านล่างได้ ในตัวอาคารต้องยอมรับว่ามีการทำความสะอาดได้อย่างดีเยี่ยมเลย พอมันสะอาดก็ทำให้ทุกอย่างมันดูสวยงาม ทุกมุม
ผมเดินดูไปเรื่อยๆ ก็มาสะดุดตากับของเล่นสังกะสี มีเรือสังกะสีจัดเรียงกันไว้ในตู้มากมายหลายลำ แต่มีอยู่สองลำที่ทำให้ผมหวลคำนึงถึงความหลัง เรือสังกะสีหมายเลข 8 สองลำนี้ ตอนเด็กประถมช่วงปิดเทอมผมต้องไปอยู่บ้านยาย ตอนเย็นๆ ผมจะฟังเสียงเรือเครื่องที่วิ่งมาขายของ เพราะในละแวกนั้นไม่มีบ้านใครมีเรือเครื่อง จะมีก็ต้องมาจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง เรือเครื่องหางยาวลำนี้จะมีของมาขายเป็นประจำ มีทั้งผักผลไม้ หมู ปลา ไก่ และของใช้อื่นๆ ที่สำคัญสำหรับเด็กๆ คือ ขนมและของเล่น ผมจำได้ว่ายายซื้อ เรือสังกะสีแบบนี้ให้ 1 ลำ มันจะอยู่ในซองพลาสติกแขวนกันมาเป็นแผง ราคาผมจำไม่ได้ว่ากี่บาท น่าจะลำละ 5 บาท
พอเปิดเทอมผมต้องกลับไปเรียนหนังสือที่บ้านญาติ สมัยนั้นจะมีฤดูน้ำท่วม น้ำก็จะท่วมขึ้นมาจนสูงถึงหัวบรรไดบ้านเลยทีเดียว ญาติๆ ผมก็เอาเรือผมไปเล่นจุดเทียนเพื่อให้ความร้อนรนแผ่นโลหะด้านใน ที่ปะกบกัน ซึ่งต้องเติมน้ำเข้าไปก่อน เมื่อแผ่นโลหะโดนความร้อน น้ำด้านในจะเดือด ทำให้พ่นอากาศออกมาตรงปลายท่อที่อยู่ท้ายเรือ ทำให้เรือมันวิ่งไปได้ โดยเราต้องตั้งหางเสือ ถ้าให้มันวิ่งเป็นวงกลมก็บิดหางเสือทำมุมไว้ มันจะวิ่งวนเป็นวงกลมในน้ำ
หลังจากที่ไฟดับลง ญาติผมก็ใช้เท้าเหยียบมันจมลงไปในน้ำ ต่อหน้าต่อตาผม ด้วยความสนุกสนาน แต่ผมนั้นใจหายวาบเลย และไม่มีใครงมมันขึ้นมาให้ผมด้วย จนเวลาผ่านไปเป็นเดือน น้ำแห้ง ผมยังมองดูตรงที่เรือมันจมลงไปว่ามันยังอยู่หรือไม่ และพยายามไปขุดหามัน ปรากฏว่ามันไม่เหลือซากไว้ให้เห็นเลย
ตอนนี้ผมก็ซื้อเก็บไว้หนึ่งลำ เป็นเรือสังกะสีที่ทำใหม่ลำเล็กๆ ซึ่งในพิพิฑภัณฑ์ของเล่นนี้ก็มีขาย ลำละ 300 บาท แต่เรือสังกะสีเก่า เบอร์ 8 อย่างในภาพ ผมหาซื้อไม่ได้จริงๆ มันคือของเล่นที่ผมชอบมาก
ทางขึ้นมายัง พิพิธภัณฑ์ของเล่น ชั้นบนนั้น จะประดับไปด้วยรูปภาพและนาฬิกาแขวนโบราณ มีพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้เห็นพระบารมีของพระองค์ท่านด้วยครับ
สำหรับการมาเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ของเล่น ในวันนี้ ก็เพื่อให้ลูกสาวคนเดียวของผมได้เปิดหูเปิดตา และได้เห็นของเล่นต่างๆ ทั้งของใหม่และของเก่า เธอจะยิ้มตลอดเวลาที่ได้เห็นของเล่นที่เธอรู้จัก และตัวการ์ตูนที่เธอได้ดูมา เธอก็จะบอกว่าอันนี้เคยดูแล้ว ตัวนี้ก็มี ของเล่นกับเด็กนั้นเป็นของคู่กันที่แยกกันไม่ออก งานของเด็กๆ คือการเล่น และการเล่นก็คือการเรียนรู้
พอผมพาครอบครัวออกมาจาก พิพิธภัณฑ์ของเล่นอยุธยา ลูกสาวผมก็ร้องขอให้พ่อพาไปซื้อ "ตุ๊กตาบาร์บี้" ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ต้องใจอ่อนเสียเงินซื้อของเล่นให้เธออีกจนได้ แล้วพบกับบทความของผมได้ใหม่คราวหน้านะครับ
วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2562