วัดไชยวัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยธยา

ผมขับรถมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวยังวัดไชยวัฒนารามแห่งนี้ ซึ่งทำให้ผมนึกถึงในวัยเด็ก ที่ได้เข้ามาเรียนยังตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พวกเรามาเช่าหอพักกันอยู่ในตัวเมืองอยุธยา หากว่างจากการเรียน เราก็มักจะเข้ามานั่งเล่นกันที่บริเวณใต้ต้นก้ามปู ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อก่อนต้นก้ามปูมันไม่ใหญ่ขนาดนี้

ในอดีตสถานที่เหล่านี้ก็เหมือนกับสวนสาธารณะ คนอยุธยาก็สามารถเดินผ่านเข้าออกได้ตลอดเวลา ไม่มีรั้วรอบขอบชิดเหมือนในสมัยนี้หรอกนะครับ ตอนเย็นๆ เรายังเล่นตะกร้อกันในบริเวณวัดนี้กันอย่างสนุกสนาน

วัดไชยวัฒนาราม

ปัจจุบันวัดไชยวัฒนารามได้ถูกกรมศิลปากร บูรณะขึ้นมาใหม่ ให้โครงสร้างมีความแข็งแรง และคงความสวยงามมากขึ้นกว่าเดิม และมีการเก็บค่าบริการผ่านเข้าชมโดยคนไทยเสียค่าบริการเพียง คนละ 10 บาท เท่านั้น ถือว่าถูกมากๆ รายได้ก็น่าจะนำไปใช้จ่ายในการดูแลโบราณสถานให้อยู่คู่กับคนไทยไปตราบนานเท่านาน เก็บไว้ให้ลูกหลานพวกเราได้ชื่นชมต่อไป

วัดไชยวัฒนารามถูกสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์องค์ที่ 24 ของอาณาจักรอยุธยา ท่านเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงษ์ปราสาททอง ต่อจากราชวงษ์สุโขทัย

สันนิษฐานต่อไปอีกว่า ท่านสร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับพระราชมารดา และพื้นที่แห่งนี้น่าจะเป็นบ้านของพระราชมารดาของท่านก่อนที่ท่านจะได้เสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์แห่งราชวงษ์ปราสาททอง

วัดไชยวัฒนาราม

แต่ก็มีข้อสันนิษฐานอีกข้อ ว่าท่านสร้างเพื่อประกาศชัยเหนือเขมร โดยนำศิลปะจากนครวัด มาจำลองเป็นวัดไชยวัฒนารามแห่งนี้

ตำแหน่งของวัดจะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศตะวันตกของเกาะเมือง วัดหันหน้าไปทางทิศตะวันออกริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากซากโบราณสถาน จะเห็นว่า มีเจดีย์ปรางประธานอยู่ตรงกลางขนาดใหญ่ และมี เมรุทิศ-เมรุราย ล้อมรอบ บริเวณทางเดินรอบๆ เรียกว่า “ระเบียงคด” มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยล้อมรอบ เหมือนกับ วัดพุทไธศวรรย์ และ วัดใหญ่ชัยมงคล แต่ที่วัดพุทไธศวรรย์ จะสวยงามสมบูรณ์กว่า เพราะระเบียงคตจะมีหลังคา และองค์พระพุทธรูปก็สวยงามสมบูรณ์ทุกองค์ ด้านหน้าวัดริมฝั่งแม่น้ำ มีซากโบราณเป็นฐานของวิหารขนาดใหญ่ ไม่มีผนังหลังคา แต่คงมีพระพุทธรูปให้เห็นด้วยเช่นกัน

ก่อนอยุธยาเสียกรุงให้กับพม่าในครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้ถูกแปลงเป็นค่ายป้อมปราการเพื่อรับศึกศัตรู แต่ก็ไม่อาจต้านทานอริราชศัตรูไว้ได้ ทำให้ถูกทำลายลงไป และภายหลังยังถูกคนร้ายลักลอบขุดหาสมบัติ ตัดเศรียรพระพุทธรูป และเคลื่อนย้ายนำวัสดุของมีค่าต่างๆ ออกไป ทำให้เหลือเพียงซากปรักหักพังไว้เพียงเท่าที่เห็น

วัดไชยวัฒนาราม

หากคนไทยในสมัยอดีต ไม่แตกแยกความสามัคคี แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ร่วมกันต่อสู้ปกป้องเราก็คงไม่ต้องสูญเสียมรดกอันล้ำค่าเหล่านี้ไป ความขัดแย้งนำไปสู่สงคราม และมักสร้างแต่ความเสีย การทำลายโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและทรัพย์สิน ถึงแม้ว่าคนที่ก่อสงครามนั้นจะไม่สามารถอยู่ยั้งยืนยง เป็นอมตะได้ก็ตามที เพียงแค่สนองความอยาก ได้อยากมี ในช่วงเวลานั้น ไม่ได้คิดว่า ตายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถเอาไปได้ คงตกเป็นของลูกหลานสืบกันต่อมา

ช่วงเวลานี้ผมยังเห็นนักท่องเที่ยวเช่าชุดไทยโบราณ เดินถ่ายรูปกันมากพอสมควร ทั้งที่เป็นช่วงการระบาดโควิด 19 แต่ช่วงวันเสาร์และอาทิตย์แบบนี้ นักท่องเที่ยวก็ไม่ยอมหายไปจากสถานที่แห่งนี้เลย

วัดไชยวัฒนาราม

พอถึงช่วงเวลา 16:00 น. เจ้าหน้าที่ก็เริ่มที่จะเดินแจ้งนักท่องเที่ยว ว่าสถานที่ใกล้จะปิดลงแล้ว โดยจะปิดเวลา 16:30 น. ผมเองซึ่งกำลังจะรอเพื่อถ่ายพระอาทิตย์ตกดิน ก็ต้องผิดหวัง และพยายามอยู่ถ่ายภาพและวีดีโอให้ได้มากที่สุดจนถึงเวลา 16:30 น. นักท่องเที่ยวต่างก็ทยอยกันออกมา บางคนก็มายืนถ่ายรูปกันด้านนอก บริเวณลานจอดรถ

ผมก็ขอจบบันทึกเรื่องราวของวัดไชยวัฒนาราม ในวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2565 ไว้แต่เพียงเท่านี้ หากใครยังไม่เคยมา เที่ยวอยุธยา หากมีโอกาสก็ควรได้มาเที่ยวสัมผัสความยิ่งใหญ่ของโบราณสถาน อาณาจักรอยุธยา ดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต